การละเล่นม้าคำไหล ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดคือ การแต่งกายด้วยเสื้อและกางเกงสีดำ ตกแต่งด้วยผ้าสีหลากหลาย มีการเล่นเป็นคณะ และมีการรำเซิ้งไปตามที่ต่างๆ ในบริเวณงานที่ม้าวิ่งไป รวมถึงวิ่งไปตามบ้านเรือนของชาวบ้านธาตุด้วย สร้างความสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง การละเล่นนี้จะเล่นกันในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี
ม้าคำไหล เป็นม้าทรงพระศรีธาตุ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่ปกครองบ้านธาตุในหลายร้อยปีก่อน ซึ่งสมัยก่อนเจ้าเมืองจะมีม้าเป็นพาหนะเพื่อใช้ในการเดินทางและตรวจเยี่ยมราษฎร ประหนึ่งว่าเมื่อมีการละเล่นม้าคำไหลเมื่อไรก็เปรียบเสมือนการอัญเชิญดวงวิญญาณพระศรีธาตุและม้าคำไหลมาประทับทรงในคราเดียวกันเพื่อออกเยี่ยมประชาราษฎรไปด้วย
ม้าคำไหลนี้พระศรีธาตุได้เกิดนิมิตว่า เป็นม้าทรงของพระเจ้าสิทธัตถะ (พระพุทธเจ้า) ซึ่งมาจุติเป็นม้าทรงของพระศรีธาตุ ซึ่งพระศรีธาตุจะได้พบม้าตัวนี้ทางทิศเหนือของเมือง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ให้คนเดินทางไปดูทิศเหนือที่นิมิตฝัน ก็ได้พบม้าสีนิล กำลังเล็มหญ้าอยู่และเมื่อให้คนไปจับมาขี่ก็ไม่มีใครสามารถขี่ได้ เมื่อพระศรีธาตุได้เข้าใกล้ก็สามารถขึ้นขี่ควบไปได้อย่างสบาย
หลังจากการทราบเรื่องราวจากร่างทรงแล้ว จึงกำหนดให้มีการบวงสรวงดวงวิญญาณการทรงม้า และบวงสรวงอัญเชิญดวงวิญญาณพระศรีธาตุประทับร่างทรงม้า ที่ชาวบ้านมักพูดติดปากว่า ปู่พระศรีมหาธาตุ ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการละเล่นม้าคำไหล นอกจากจะมีการวิ่งไปตามขบวนแห่เซิ้งบั้งไฟในกลางวันแล้ว
ตอนกลางคืนม้าคำไหลยังออกเที่ยวเยี่ยมบ้านเรือนในหมู่บ้านเกือบทุกหลังคาเรือน ชาวบ้านจะคอยเปิดประตูบ้านไว้ เมื่อม้าคำไหลมาถึงบ้านเรืองหลังใดก็จะวิ่งรอบทั่วบ้าน ชาวบ้านจะถวายจตุปัจจัยตามแต่ศรัทธา โดยจะถือว่าเป็นการให้น้ำ ให้หญ้า ในคณะเดินทางของม้าคำไหลจะมีผู้ชาย (ห้ามเป็นผู้หญิงโดยเด็ดขาด) ที่คอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขี่ม้าที่มีตัวม้าคำไหลเป็นร่างทรง
หากไม่ใช่เทศกาลงานประเพณีบุญบั้งไฟบ้านธาตุ คือวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ห้ามนำม้าคำไหลออกจากหอโฮงที่วัดศรีเจริญโพนบน โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดอาเพศขึ้นในหมู่บ้าน อันเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาของชาวบ้านธาตุตั้งแต่กาลก่อนจนถึงปัจจุบัน
ตำนานงานประเพณีบุญบั้งไฟล้าน ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี จากตำนานเล่าขานต่อๆ กันมา พระศรีธาตุ ผู้ซึ่งปกครองชาวบ้านธาตุในสมัยนั้น ท่านได้ปกครองด้วยความเป็นธรรม ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่ท่านออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร ท่านจะขี่ม้าเป็นพาหนะ ชาวบ้านทุกคนต่างเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก
ครั้งหนึ่งท่านและราษฎรได้ร่วมกันบูรณะ ซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ (ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านเรียก องค์พระศรีมหาธาตุ) ซึ่งองค์พระเจดีแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยขอมก่อนที่พระศรีธาตุจะมาปกครอง ซึ่งองค์พระเจดีย์ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (จากคำบอกเล่าต่อๆ กันมาว่า เป็นกระดูกนิ้วก้อยของพระพุทธเจ้า) หลังจากบูรณะซ่อมแซมเสร็จ ท่านกับราษฎรได้ร่วมกันฉลองสมโภค
ตรงกับวันเพ็ญเดือนหก ในการสมโภชท่านได้ร่วมกับราษฎรทำบั้งไฟมาจุดถวาย ซึ่งการจุดบั้งไฟดังกล่าวนี้ เป็นการบนบาลศาลกล่าวเพื่อให้บ้านเมืองพ้นจากวิบัติภัยต่างๆ การจัดบั้งไฟในสมัยนั้นจะจุดอยู่ในบริเวณวัด (ปัจจุบันคือ วัดศรีเจริญโพนบก) เป็นการเฉพาะฉลองสมโภคองค์พระเจดีย์
ต่อมาหลังจากพระศรีธาตุเสียชีวิตไม่นาน ม้าที่ท่านเคยขี่เป็นพาหนะประจำตัว ก็ได้ตรอมใจตายตามไป ครั้นถึงวันเพ็ญเดือนหก ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระศรีธาตุเสียชีวิต ราษฎรจึงจัดงานฉลองสมโภช ดังที่เคยปฏิบัติมาในทุกปีและเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่าน
ต่อมาทางคณะกรรมการหมู่บ้านและประชาชนในท้องถิ่น จึงได้สร้างม้าคู่ชีพของพระศรีธาตุขึ้นมาแทน เป็นม้าจำลองที่ทำจากเหง้าไม้ไผ่ เมื่อสร้างเสร็จก็ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อัญเชิญดวงวิญญาณม้าให้เข้าสิงสถิตในม้าจำลองนั้น และให้ชื่อว่า ม้าคำไหล
สมัยก่อนเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนหกของทุกปี ชาวบ้านจะนำบั้งไฟมาถวายแด่องค์พระศรี (พระศรีมหาธาตุ) พร้อมกับการทรงขี่ม้าคำไหล โดยจะทรงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตั้งแต่เวลา 06.39 น. เป็นต้นไป เป็นการปฏิบัติสืบทอดกันมาจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ จึงถือเป็นของคู่บ้านคู่เมืองซึ่งถ้าหากขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นม้าคำไหลหรือบั้งไฟ บ้านเมืองจะเกิดความไม่สงบสุข
จึงเกิดเป็นตำนานบั้งไฟและม้าคำไหลสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันในปัจจุบันการถวายบั้งไฟ ได้ขยายไปจนถึงการทำบั้งไฟล้าน อันเนื่องมาจากการบนบานศาลกกล่าวของชาวบ้าน ที่มีการบนว่าถ้าหากสิ่งที่ขอไปนั้นสำเร็จตามประสงค์ ก็จะจัดบั้งไฟถวาย และเมื่อสำเร็จได้ตามประสงค์ก็ได้มีการจัดบั้งไฟถวายตามนั้น
จากแรกเริ่มบนไว้เป็นบั้งไฟหมื่น ก็เริ่มบน เริ่มขอสิ่งที่ประสงค์มากขึ้น ก็จำต้องแก้บนด้วยบั้งไฟที่ใหญ่ขึ้นตาม จนเกิดเป็นการถวายเป็นบั้งไฟแสน และบั้งไฟล้านดังเช่นปัจจุบัน และคนแรกที่ได้จัดถวายบั้งไฟล้านขึ้นใน ต.บ้านธาตุ นั่นก็คือ ตระกูลเหรวรรณ
ขอบคุณเนื้อหา : หอการค้าจังหวัดอุดรธานี